กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ                                       กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ                                         กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ

บทความ “วันกองทัพเรือ” ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี

Release Date : 16-11-2022 00:00:00
บทความ “วันกองทัพเรือ” ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี

ทุก ๆ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายนของทุกปี วันนี้ถูกกำหนดให้เป็น "วันกองทัพเรือ" ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความสำคัญของ "กองทัพเรือ" ซึ่งเป็นอีกกองรบหนึ่งที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชนชาวไทย ตั้งแต่สมัยอดีตกาล

กำเนิดกองทัพเรือ

กองทัพเรือมีกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กองทัพไทยในสมัยนั้นมีเพียงทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่น ในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพไปทางบกก็เรียกว่า "ทัพบก" หากยาตราทัพไปทางเรือก็เรียกว่า "ทัพเรือ" การจัดระเบียบ การปกครองบังคับบัญชากองทัพไทยในยามปกติ สมัยนั้นยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ในยามศึกสงครามได้ใช้ทหาร "ทัพบก" และ "ทัพเรือ" รวม ๆ กันไป

ในการยาตราทัพเพื่อทำศึกสงครามภายในอาณาจักร หรือนอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็นต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจากจะสามารถลำเลียงเสบียงอาหารได้คราวละมาก ๆ แล้ว ยังสามารถลำเลียงอาวุธหนัก ๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวกและรวดเร็วกว่าทางบกด้วย จึงนิยมยกทัพไปทางเรือจนสุดทางน้ำ แล้วจึงยกทัพต่อไปบนทางบก

 

เรือรบที่เป็นพาหนะของกองทัพไทยสมัยโบราณ มี ๒ ประเภท ด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำ และเรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐานจากลักษณะที่ตั้งของราชธานี ซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบ และมีแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางในการคมนาคม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องใช้น้ำในการบริโภคและการเกษตรกรรมแล้ว เรือรบในแม่น้ำคงมีมาก่อนเรือรบในทะเล เพราะสงครามของไทยในระยะแรก ๆ จะเป็นการทำสงครามในพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย กล่าวคือ เป็นการทำสงครามกับพม่าเป็นส่วนมาก

สำหรับเรือรบนั้น แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ...

เรือรบในแม่น้ำ

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๘๙) ทรงยกกองทัพ  ไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยคืนจากพม่า ใน พ.ศ. ๒๐๘๑ ต่อจากนั้นไทยก็ได้ทำศึกสงครามกับพม่ามาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำในสมัยนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะใช้ทำศึกสงครามมากกว่าเรือรบในทางทะเล เรือรบในแม่น้ำเริ่มต้นมาจากเรือพาย เรือแจวก่อน เท่าที่พบหลักฐานไทยได้ใช้เรือรบประเภทเรือแซ เป็นเรือรบในแม่น้ำ เพื่อใช้ในการลำเลียงทหารและเสบียงอาหารมาช้านาน โดยใช้พาย ๒๐ พายเป็นกำลังขับเคลื่อนให้เรือแล่นไป

 

เรือรบในทะเล

สำหรับเรือรบในทะเล ในสมัยแรกยังไม่มีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะเท่าเรือรบในแม่น้ำ เนื่องจากลักษณะที่ตั้งตัวราชธานีอยู่ไกลจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็นในการใช้เรือจึงมีน้อยกว่าในยามปกติ ก็นำเอาเรือที่ใช้ในทะเลมาเป็นพาหนะในการบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายยังหัวเมืองชายทะเลต่าง ๆ และประเทศข้างเคียง ครั้นเมื่อบ้านเมืองมีศึกสงครามก็นำเรือเหล่านี้มาติดอาวุธปืนใหญ่เพื่อใช้ทำสงคราม

แต่ครั้งโบราณ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่มใช้เรือรบในทะเลในการทำศึกสงครามบ้างแล้ว เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองทวาย เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ และในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔  เป็นต้น ส่วนเรือรบในทะเลจะมีเรือประเภทใดบ้างยังไม่อาจทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่า คงจะเป็นเรือใบหลายประเภทด้วยกัน ถ้าเป็นเรือขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นเรือสำเภาแบบจีน เรือกำปั่นแปลง  แต่ถ้าเป็นเรือขนาดย่อมลงมาจะเป็นเรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และเรือแบบแขก เป็นต้น

 

ประวัติ วันกองทัพเรือ ( Royal Thai Navy Day) 

ในสมัยก่อนยังไม่มีการแบ่งแยกกำลังการรบทางเรือออกจากทางบก กระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงแบ่งแยกการรบออก และได้กำหนดให้วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นวันกองทัพเรือ จวบจนปัจจุบัน 

หลังจากมีการแบ่งแยกกำลังทางรบระหว่างทางบก และทางเรือออกจากกันแล้ว รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรมทหารเรือขึ้น แต่ทั้งนี้ ในสมัยนั้นยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะ จึงจำเป็นต้องจ้างชาวต่างประเทศเข้ามารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ อาทิ ผู้บังคับการเรือ ผู้บัญชาป้อมต่าง ๆ 

ต่อมาภายหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) รัชกาลที่ ๕ ทรงห่วงว่า ทหารจากต่างประเทศที่เข้ามาประจำตำแหน่งต่าง ๆ อาจจะมีกำลังไม่มากที่พอที่จะรักษาอธิปไตยของชาติได้ และอาจจะรักษาอธิปไตยได้ไม่ดีเท่าคนไทยด้วยกันเอง จึงประสงค์ให้จัดการศึกษาแก่ทหารเรือไทย เพื่อให้มีความรู้ความสามารถมากพอ ที่จะทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนชาวต่างชาติได้  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ "พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์" พระราชโอรส เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือยังประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ หลังจากพระราชโอรสทรงสำเร็จการศึกษา จึงทรงกลับมารับราชการในกรมทหารเรือ และจัดฝึกสอนวิชาการทหารเรือขึ้น โดยเริ่มตั้งโรงเรียนขึ้นครั้งแรกบริเวณอู่หลวงใต้วัดระฆัง ตรงข้ามท่าราชวรดิฐ เพื่ออบรมนายทหารชั้นประทวน และฝ่ายช่างกล  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ทรงตั้งโรงเรียนนายสิบขึ้น จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารเรืออีกโรงเรียนหนึ่ง จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ตั้งโรงเรียนนายเรือขึ้น ซึ่งตั้งอยู่ที่วังนันทอุทยาน (สวนอนันต์) โดยมี นาวาโท ไซเดอลิน (Seidelin) เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือคนแรก

และในปีถัดมา (พ.ศ. ๒๔๔๓) เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์ สิ้นพระชนม์ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นที่ประทับได้ว่างลง รัชกาลที่ ๕ จึงทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชวังดังกล่าวให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นต้นมา 

 

โดยได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาในสมุดเยี่ยมของโรงเรียน มีความว่า...

"วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๕ เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ  ซึ่งได้เห็นการทหารเรือ มีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบต่อไปในภายหน้า" 

ทั้งนี้ ทางราชการทหารเรือ จึงได้ถือ "วันกองทัพเรือ" เป็นวันที่ ๒๐ พฤศจิกายนของทุกปี ตราบจนปัจจุบัน

 

แหล่งที่มา https://taobaocargo.com/knowledge/view/id/๒๘๖