กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ                                       กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ                                         กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ

พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ ๕ กับกิจการ “การรถไฟแห่งประเทศไทย”

Release Date : 01-02-2022 00:00:00
พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ ๕ กับกิจการ “การรถไฟแห่งประเทศไทย”

จุดเริ่มต้นการรถไฟแห่งประเทศไทย

ในสมัยนั้น ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศทั้งหลายที่เจริญ ซึ่งก่อนที่จะมีถนนหนทางมากมายและรถราวิ่งกันขวักไขว่เหมือนในสมัยนี้นั้น ผู้คนยังคงใช้พาหนะจากสัตว์ เช่น โค กระบือ หรือม้าในการขนส่งสินค้าและการเดินทางส่วนตัว ดังนั้นรถไฟจึงเปรียบดั่งใบไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาแตกขยายออกไปตามหัวเมืองที่สำคัญต่าง ๆ ในสมัยนั้น เพื่อให้สามารถเดินทางและลำเลียงสินค้าจากถิ่นหนึ่งไปยังอีกถิ่นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การติดต่อค้าขายทำได้ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันเป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของชาติให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย

จุดเริ่มต้นที่แท้จริงในสมัยนั้น เกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๘ เมื่อรัฐบาลสหราชอาณาจักรอังกฤษ ให้ ท่านเซอร์ จอห์น เบาริง (Sir John Bowring) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม พร้อมด้วย มิสเตอร์ แฮรี่ สมิท ปาร์ค (Mr. Harry Smith Parkes) เดินทางเพื่อเข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาทางราชไมตรีฉบับที่รัฐบาลอังกฤษทำไว้กับรัฐบาลไทยเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๖๙

ซึ่งได้นำเอาเครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ เข้ามาเพื่อทูลฯ เกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ นั่นก็คือ 'รถไฟจำลอง' ซึ่งย่อส่วนมาจากรถจักรไอน้ำและรถพ่วงแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ในอังกฤษนั่นเอง (ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้)

รถไฟจำลองดังกล่าวกลายเป็นเครื่องดลพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ให้ริเริ่มสถาปนากิจการรถไฟในราชอาณาจักรไทย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มั่นคงในสมัยนั้น ประกอบกับพลเมืองยังคงมีจำนวนน้อย ทำให้การรถไฟยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์และเมืองเบตาเวีย ประกอบกับได้ทอดพระเนตรการสร้างรถไฟที่เมืองเบตาเวีย และได้ประทับรถไฟที่ประเทศอินเดีย จนเป็นที่ประทับพระราชหฤทัยของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของกิจการรถไฟประเทศไทยนับแต่นั้นมา

 

เริ่มต้นสร้างทางรถไฟ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ เซอร์แอนดรู คลาก และบริษัทปันชาร์ด แมกทักการ์ด โลเธอร์ ดำเนินการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟจาก กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ และให้มีทางแยกตั้งแต่เมืองสระบุรี - นครราชสีมาสายหนึ่ง จากเมืองอุตรดิตถ์ - ตำบลท่าเดื่อริมฝั่งแม่น้ำโขงสายหนึ่ง และจากเมืองเชียงใหม่ไปยังเชียงราย เชียงแสนหลวงอีกสายหนึ่ง ซึ่งราคาค่าจ้างเฉลี่ยสมัยนั้นไม่เกินไมล์ละ ๑๐๐ ปอนด์ โดยมีการตกลงทำสัญญาเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐

หลังจากสำรวจเส้นทางต่าง ๆ แล้ว รัฐบาลในสมัยนั้นเล็งเห็นว่าจุดแรกที่สมควรสร้างทางรถไฟขึ้นก่อนที่อื่น คือ นครราชสีมา ดังนั้น 'กรมรถไฟ' จึงถูกก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ สังกัดอยู่ในกระทรวงโยธาธิการ มีพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัติวงศ์ ทรงเป็นเสนาบดี และนาย เค. เบ็ทเก (K. Bethge) ชาวเยอรมัน เป็นเจ้ากรมรถไฟ รวมทั้งเปิดให้มีการประมูลสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา เป็นสายแรก โดยชาวอังกฤษสามารถประมูลได้ไปในราคาต่ำสุดอยู่ที่ ๙,๙๕๖,๑๖๔ บาท

ทางรถไฟหลวงจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา นับเป็นทางรถไฟสายแรก เป็นทางขนาดกว้าง ๑.๔๓๕ เมตร โดยรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีกระทำพระฤกษ์ เริ่มการสร้างทางรถไฟ ณ บริเวณย่านสถานีกรุงเทพ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ ซึ่งปัจจุบัน การรถไฟฯ ได้สร้างอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้น

 

คนไทยเดินทางด้วยรถไฟเป็นครั้งแรก

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ การก่อสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ - นครราชสีมา เสร็จเป็นบางส่วนพอให้เปิดใช้งานได้แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่าง สถานีกรุงเทพ - อยุธยา ระยะทาง ๗๑ กิโลเมตร และเปิดให้ประชาชนเดินทางไปมาระหว่าง กรุงเทพ - อยุธยา ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ เป็นต้นไป

โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ยึดเอาวันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟ เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่าง กรุงเทพฯ - อยุธยา นั่นเอง

ในระยะแรกมีการเดินขบวนขึ้นล่องวันละ ๔ ขบวน เดินทางไปยัง ๙ สถานี ได้แก่ สถานีกรุงเทพ บางซื่อ หลักสี่ หลักหก คลองรังสิต เชียงราก เชียงรากน้อย บางปะอิน และกรุงเก่า ต่อมาก็ได้มีการเปิดการเดินรถต่อไปอีกเป็นระยะ จากอยุธยา ถึง แก่งคอย, มวกเหล็ก และปากช่อง

เมื่อการก่อสร้างทางรถไฟสายแรกสำเร็จตามพระราชประสงค์แล้ว ก็ทรงพิจารณาสร้างสายอื่น ๆ ต่อไป จนกระทั่งสิ้นสมัยรัชกาลของพระองค์ เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓

 

เริ่มนำเข้ารถจักรกลดีเซล

ในสมัยที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงอยู่นั้น ทรงตระหนักดีว่าการใช้รถจักรไอน้ำลากจูงขบวนรถ จะทำให้เกิดลูกไฟที่กระจัดกระจายออกมาเป็นอันตรายต่อประชาชนทั่วไปได้ รวมถึงยังไม่สะดวกและประหยัด พระองค์จึงทรงสั่งรถจักรดีเซล จำนวน ๒ คันมาจากสวิสเซอร์แลนด์ เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก

รถจักรดีเซลการกลครั้งแรก เลขที่ ๒๑-๒๒ ได้ออกวิ่งรับใช้ประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่ตึกบัญชาการรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย

 

แหล่งที่มา https://www.sanook.com/news/๒๐๘๘๒๘๖/